ในปัจจุบันชาเขียวได้เป็นที่ชื่นชอบของหลาย ๆ คนและได้มีการนำมาพัฒนาให้เป็นอาหารมากมายหลายชนิด อาทิ บิงซูชาเขียว นามะชาเขียว เค้กชาเขียว หรือ มัทฉะลาเต้ … และอีกมากมายหลายเมนู แต่ทุกคนรู้ไหมว่าชาเขียวมีหลายหลากชนิดและแต่ละชนิดก็มีรสชาติและกระบวนการชงที่แตกต่างกัน และแน่นอนในวันนี้เราจะมาทำความรู้จักชาเขียวและมัทฉะที่เป็นที่ชื่นชอบของใครหลาย ๆ คนไปด้วยกัน
ชาเขียว (Green tea) คืออะไร ?
ชาเขียว (Green tea) คือ ชาที่ได้มาจากต้นชาที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis ผลิตด้วยการอบไอน้ำและถูกนวด ซึ่งการทำเช่นนี้จะเป็นการรักษาสภาพของใบชาให้คงเดิมมากที่สุดก่อนจะนำไปอบแห้ง เพื่อดึงรสชาติและกลิ่นหอมของใบชาออกมา นอกจากนี้ชาเขียวไม่ได้ผ่านการหมักเหมือนชาประเภทอื่น ๆ
ทำให้ชาไม่เปลี่ยนเป็นสีดำแต่ยังคงความเขียวสด และมีคุณภาพเช่นเดียวกับใบชาสด โดยจะนำไปแช่ในน้ำร้อน อุณหภูมิ 70-80 องศาเซลเซียส เพื่อให้ได้สีของน้ำชาออกมาเป็นสีเขียว และมีรสชาติและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์นั่นเอง
มัทฉะ (Matcha) คืออะไร?
มัทฉะคือชาเขียวชนิดหนึ่ง แต่จะถูกผลิตออกมาในรูปแบบ “ผง” แตกต่างจากชาเขียวชนิดอื่นที่ใช้ใบชาแห้งในการชง เพราะมีลักษณะเป็นเนื้อครีมข้น สีเขียวสดใส และรสชาติหวานกว่าชาชนิดอื่น ๆ ส่วนต้นชาเองก็จะถูกปลูกในร่มเพื่อชะลอการเจริญเติบโตในช่วงนั้น และผู้เชี่ยวชาญจะเลือกเก็บเกี่ยวที่ยอดอ่อนของต้นชาเท่านั้น
หลังจากผ่านการอบไอน้ำและการเป่าแห้ง ใบชาก็จะถูกนำมาบดนั่นเอง นอกจากนี้จุดเด่นของการเป็นผงทำให้ละลายน้ำได้นั้น ผู้คนจึงนิยมนำมัทฉะไปเป็นส่วนผสมในการทำนม ไอศกรีม และขนมชนิดต่าง ๆ บวกกับความหวานและกลิ่นหอมธรรมชาติของมัทฉะด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ขนมหวานเหล่านั้นมีความอร่อยมากขึ้นไปอีก
ความแตกต่างระหว่าง มัทฉะ และ ชาเขียว
1.ความแตกต่างในการชงชาระหว่าง มัทฉะ และ ชาเขียว
มัทฉะ : มาในรูปแบบผง ต้องนำไปผสมน้ำร้อน นมร้อน น้ำเย็น หรือนมเย็น และใช้อุปกรณ์การชงมัทฉะ หรือแปรงตีชา (Chasen) คนให้เข้ากัน ช่วยให้ผงละลายได้ดีที่สุด และยังทำให้เกิดฟองสวยงาม สามารถนำไปทำเมนูเครื่องดื่มต่างๆ ได้เลย
ชาเขียว : มาในรูปแบบใบชาเขียวแห้ง ต้องนำไปแช่ในน้ำร้อน (ประมาณ 80 องศาเซลเซียส) และผ่านกระบวนการการกรองน้ำชาผ่านตัวกรอง สามารถนำไปทำเมนูชาเขียวอื่น ๆ ต่อได้เลย
2.ความแตกต่างเรื่องรสชาติและกลิ่นของมัทฉะและชาเขียว
มัทฉะ : มีรสชาติที่ขมและเข้มข้น หวาน และบอดี้แน่นกว่าชาเขียว กลิ่นหอมจะเป็นเอกลักษณ์ หอมนวลๆ ละมุน
ชาเขียว : รสชาติออกฝาดเล็กน้อย มีความขม ดื่มง่าย และยังมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ คล้ายสาหร่าย ซึ่งบางที่นิยมนำชาเขียวไปสกัดกับกลิ่นดอกไม้ต่าง ๆ ได้ชาเขียวมะลิ ชาเขียวกุหลาบ เป็นต้น
3.ความแตกต่างด้านคุณค่าสารอาหารของมัทฉะและชาเขียว
เนื่องจากมัทฉะมีความเข้มข้นสูงจึงให้สารอาหารที่มากกว่าชาเขียวทั่วไป 5-10 เท่า หลักๆ แล้วจะให้ประโยชน์ในเรื่องของช่วยในการเผาผลาญไขมัน มีทั้งแร่ธาตุและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย แค่ดื่มเป็นประจำทุกวัน
4.ความแตกต่างเรื่องการเพาะปลูกชาเขียว
มัทฉะ : ปลูกในขั้นตอนที่ซับซ้อนมีรายละเอียดในทุกขั้นตอน ต้นชาของมัทฉะจะต้องปลูกในร่ม และมีการคลุมไม่ให้ใบชาโดนแสงแดดโดยตรง ช่วยกระตุ้นให้เกิดการผลิตคลอโรฟิลล์ ทำให้ใบชามีสีเขียวเข้มกว่าชาเขียวปกติ
ชาเขียว : ปลูกในระบบกลางแจ้งปกติ สามารถเก็บผลผลิตได้ตามฤดูกาล
5.ความแตกต่างเรื่องการประกอบเมนูต่าง ๆ ของมัทฉะและชาเขียว
มัทฉะ : เนื่องด้วยมัทฉะมีรสชาติที่เข้มข้นและหอมมัน จึงสามารถนำผงมัทฉะไปประกอบเมนูได้หลากหลายอย่าง ทั้งเมนูเครื่องดื่มและของหวาน ไม่ว่าจะเป็น มัทฉะปั่น, มัทฉะเย็น, มัทฉะร้อน หรือเค้กมัทฉะ, มูสมัทฉะ, ชีสเค้กมัทฉะ, มัทฉะบานอฟฟี่ นอกจากนี้สามารถนำไปทำเป็นไอศกรีมที่ได้รับความนิยมแพร่หลายในปัจจุบันอีกด้วย
ชาเขียว : ส่วนใหญ่แล้วหลายคนนิยมนำชาเขียวไปประกอบเป็นเมนูเครื่องดื่มเป็นหลัก ซึ่งทำได้ทั้งร้อน เย็นและปั่น อีกทั้งสามารถนำไปประกอบเป็นเมนูของคาว ทั้งทำเป็นซุป ครีมสลัดต่างๆ ให้ทั้งประโยชน์และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ด้วย
ประโยชน์ของชาเขียวมัทฉะ
โดยปกติแล้วผงมัทฉะธรรมดามีแคลอรีที่ต่ำมากและสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการไดเอทและสุขภาพที่ดีได้ การดื่มมัทฉะทุกวันนั้นมีประโยชน์มากมาย ทั้งในด้านของสุขภาพกาย และสุขภาพจิต
- อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)
มัทฉะเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะ “คาเทชิน (catechins)” ซึ่งเป็นสารประกอบตามธรรมชาติที่ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์และให้ประโยชน์ต่อสุขภาพอื่นๆ สารต้านอนุมูลอิสระที่มีความเข้มข้นสูงใน มัทฉะช่วยให้ร่างกายป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระที่เป็นอันตราย ลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็งได้ - ช่วยให้จิตใจความสงบ ผ่อนคลาย
มัทฉะมีกรดอะมิโนแอล-ธีอะนีน (amino acid L-Theanine) ซึ่งจะช่วยเพิ่มคลื่นอัลฟ่าในสมอง ทำให้รู้สึกผ่อนคลายโดยไม่รู้สึกง่วงนอน สิ่งนี้สามารถช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้ แอล-ธีอะนีนยังช่วยเพิ่มสมาธิและความจำ ทำให้มัทฉะเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ในการเริ่มต้นวันใหม่ที่สดใส - บำรุงหัวใจ
การบริโภคมัทฉะเป็นประจำสามารถช่วยบำรุงหัวใจได้เนื่องจากมีผลในการลดคอเลสเตอรอล สารต้านอนุมูลอิสระในมัทฉะสามารถช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชันของคอเลสเตอรอล LDL (คอเลสเตอรอลที่ “ไม่ดี”) ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจได้ - ให้พลังงานที่เสถียร
มัทฉะให้พลังงานที่เสถียรอ่อนโยน เนื่องจากการผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ของคาเฟอีนจากธรรมชาติและแอล-ธีอะนีน ทำให้รู้สึกกระฉับกระเฉงแบบอ่อนโยน ซึ่งแตกต่างจากกาแฟซึ่งสามารถทำให้หัวใจเต้นเร็วเกินได้ คาเฟอีนในมัทฉะจะถูกปล่อยออกมาอย่างช้า ๆ ทำให้ระดับพลังงานคงที่ - ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
การศึกษาชี้ให้เห็นว่าคาเทชินในมัทฉะสามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันได้ ซึ่งสามารถช่วยให้บรรลุเป้าหมายการลดน้ำหนักได้ง่ายและเร็วขึ้น มัทฉะสามารถเป็นตัวช่วยเสริมที่ดีสำหรับการไดเอทและการใช้ชีวิตในประจำวัน - ล้างพิษในร่างกาย
คลอโรฟิลล์ที่มีอยู่ในมัทฉะ (ซึ่งทำให้มีสีเขียวสดใส) การดื่มชานี้เป็นประจำสามารถช่วยล้างพิษในร่างกายตามธรรมชาติ ขจัดสารพิษที่เป็นอันตรายออกจากระบบร่างกาย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตับอีกด้วย - ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน
การรวมกันของสารต้านอนุมูลอิสระ, แอล-ธีอะนีน, EGCG (Epigallocatechin Gallate) และวิตามินต่าง ๆ ที่มีอยู่ในมัทฉะทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
สรุป
ชาเขียวและมัทฉะ มีความแตกต่างมากมายทั้งในเรื่องของวิธีการเพาะปลูก วิธีการชง กลิ่น รส จนไปถึงวิธีการนำไปใช้ประกอบอาหารอื่นๆ แต่ทั้งนี้ทั้งมัทฉะและ ชาเขียวก็มีประโยชน์ที่มากมายต่อร่างกายไม่ว่าจะเป็นช่วยในเรื่องของการลดน้ำหนัก ล้างสารพิษ หรือช่วยให้นอนหลับสบาย แต่การดื่มให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุดจะต้องดื่มในวิถีดั้งเดิมตามฉบับญี่ปุ่นนั้นเอง