แสงเหนือ

แสงเหนือ แสงใต้ ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าหลงใหล

หนึ่งในความสวยงามที่เกิดขึ้นจากธรรมขาติ ที่ทำให้หลายๆ คนตามหาเพื่ออยากพบเห็นสักครั้งในชีวิต กับแสงเหนือ แสงใต้ ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าหลงใหล ซึ่งถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่มีความพิเศษ มีความสวยงาม เกิดขึ้นบนท้องเวลาในเวลากลางคืน ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอย่างรวดเร็วราวกับว่าแสงนั้นกำลังเต้นระบำอยู่ แน่นอนว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่สามารถตามหาได้ทุกพื้นที่บนโลกใบนี้ ซึ่งคำว่าแสงเหนือ แสงใต้ จะมีชื่อเรียกว่า ออโรรา (Aurora)

สำหรับปรากฏการณ์ ออโรรา (Aurora) เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ที่เกิดแนวแสงที่มีความสว่าง และจะมีสีต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป ปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า โดยที่จะสามารถพบเจอได้ในแถบประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตละติจูดสูง ซึ่งก็คือบริเวณขั้นโลกเหนือ ที่มีอุณหภูมิต่ำ อากาศหนาว ซึ่งถ้าหากเกิดขึ้นบริเวณพื้นที่ขั้วโลกเหนือ ก็จะเรียกว่า แสงเหนือ (Aurora borealis) แต่ถ้าหากเกิดขึ้นบริเวณขั้วโลกใต้ ก็จะเรียกว่า แสงใต้ (Aurora australis)

ความแตกต่างระหว่าง แสงเหนือ และ แสงใต้

หลายๆ คนอาจจะกำลังสับสนว่าแสงเหนือ และ แสงใต้ มีความแตกต่างกันอย่างไร เพราะทั้งสองรูปแบบเกิดขึ้นมาจากอนุภาคอิเล็กตรอน โปรตอน หรือไอออนอื่นๆ ที่เหมือนกัน พลังงานเหล่านี้จะมีพลังงานที่สูง โดยที่จะถูกปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์ในขณะที่กำลังโคจรไปเรื่อยๆ ซึ่งอนุภาคต่างๆ ที่กล่าวมานั้นจะสามารถเคลื่อนที่มากับลมสุริยะ และเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก และเมื่ออนุภาคเหล่านี้เคลื่อนตัวมาภายในชั้นบรรยากาศในระดับความสูงประมาณ 80 – 1,000 กิโลเมตรจากพื้นดิน ก็จะเข้าชนกับโมกุลของก๊าซที่อยู่ภายในชั้นบรรยากาศ ทำให้เกิดการปลดปล่อยพลังงานออกมา หรือที่เห็นกันในรูปแบบแสง

โดยที่แสงที่ปรากฏขึ้นมาบนท้องฟ้าในแต่ละครั้ง ในแต่ละพื้นที่ ก็จะมีสีที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าอนุภาคดังกล่าวที่ชนกับโมเลกุลของก๊าซจะอยู่ในระดับความสูงที่เท่าไหร่ รวมไปถึงชนิด และประเภทของก๊าซที่พบเจอในชั้นบรรยากาศ ซึ่งแสงสีเขียว และแสงสีแดง จะเกิดขึ้นมาจากก๊าซออกซิเจน ส่วนแสงสีน้ำเงิน และแสงสีม่วง จะเกิดขึ้นมาจากไนโตรเจน สุดท้ายแสงสีฟ้า และแสงสีชมพู จะเกิดขึ้นมาจากฮีเลียม นั่นเอง

แสงเหนือ แสงใต้ สามารถพบเจอได้ในช่วงใด

สำหรับคำถามที่ว่า แสงเหนือ แสงใต้ สามารถพบเจอได้ในช่วงใด โดยปกติแล้วจะสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี แต่เนื่องจากพื้นที่ที่สามารถพบเจอได้ก็คือบริเวณขั้นโลก ที่จะมีช่วงเวลากลางวัน และกลางคืนที่สั้น และยาวไม่เท่ากัน โดยที่บางเดือนจะมีมีกลางคืน หรือกลางวันเลยด้วยซ้ำ ส่งผลให้ไม่สามารถสังเกต หรือมองเห็นแสงเหนือ แสงใต้ได้อย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นสำหรับใครที่ชื่นชอบ และต้องการออกตามหาแสงเหนือ แสงใต้ จำเป็นต้องเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการพบเจอได้มากที่สุด

โดยปกติแล้วช่วงเวลายอดนิยมที่เหล่านักเดินทางเลือกที่จะออกไปตามหาแสงเหนือ แสงใต้ก็คือช่วงปลายเดือนตุลาคม ไปจนถึงช่วงต้นเดือนเมษายน และอีกหนึ่งช่วงเวลายอดนิยมนั่นก็คือช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ เพราะช่วงเวลาดังกล่าวจะมีระยะเวลากลางคืนที่ยาวนานกว่ากลางวันนั่นเอง ทำให้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการตามล่า และตามหาแสงเหนือ แสงใต้

แต่สำหรับช่วงเวลาที่มีกลางคืนที่ยาวนานมากเกินไปอย่างเช่น ช่วงเดือนธันวาคม ไปจนถึงช่วงเดือนมกราคม ที่ถึงแม้ว่าจะมีเวลาให้ออกตามหาล่าแสงเหนือ แสงใต้ที่ยาวนานขึ้น แต่สำหรับผู้ที่ต้องการ และมีจุดประสงค์เพื่อมาท่องเที่ยวโดยตรง ซึ่งจะต้องเดินทางไปตามสถานที่ชื่อดังต่างๆ ด้วย ก็อาจจะต้องจัดตารางการเดินทาง สำรวจช่วงเวลาให้ดี เพราะในช่วงดังกล่าวจะมีสภาพอากาศที่มืด โดยที่จะมืดเร็วกว่าช่วงเวลาอื่นๆ

นอกจากช่วงเดือนที่ใช้สำหรับออกเดินทางที่มีความสำคัญในการพบเจอแสงเหนือ แสงใต้แล้ว ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ รอบด้านที่ต้องให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมตัว หรือหาข้อมูลที่ชัดเจนอย่างเช่น ช่วงเวลา และสภาพอากาศ ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญ เพราะจะต้องเป็นช่วงเวลาที่มีท้องฟ้าปลอดโปร่ง ไร้เมฆ บรรยากาศมืดสนิท และช่วงวลาที่เหมาะสมมากที่สุด ที่จะช่วงเพิ่มโอกาสในการพบเห็นแสงเหนือ แสงใต้ได้ดีที่สุดนั่นก็คือช่วงเวลาระหว่าง 22.00 – 24.00 น. นั่นเอง

ถึงอย่างไรก็ตามช่วงเวลา หรือสภาพอากาศที่เกิดขึ้นในแถบขั้นโลกนั้นมักจะมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ที่ในบางครั้งไม่สามารถคาดการณ์ใดๆ ได้เลย ดังนั้นเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะสามารถพบเจอแสงเหนือ แสงใต้ การตามล่า และออกเดินทางในช่วงที่ดวงอาทิตย์ผ่านวัฏจักรสุริยะไปแล้ว 2 วัน ก็จะช่วยให้สามารถพบเห็นแสงเหนือ แสงใต้ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะจากนั้นแสงจะค่อยๆ ลดลง และจะเปล่งแสงสว่างขึ้นมาอีกครั้งเมื่อครบรอบวัฏจักรไปแล้ว 11 ปี ซึ่งถือว่าเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศด้านล่างดวงอาทิตย์ ซึ่งใน 1 รอบวัฏจักรสุริยะ จะมีระยะเวลาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 11 ปี

ในทุกๆ ครั้งของการเกิดวัฏจักรใหม่ๆ ขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ ก็จะเกิดการสลับขั้วเหนือ และใต้ระหว่างกัน ส่งผลโดยตรงต่อการเกิดปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์มากมาย แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็คือ การเกิดพายุสุริยะ และเปลวสุริยะ ที่ส่งผลโดยตรงต่อการเกิดแสงเหนือ แสงใต้นั่นเอง มาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่าดวงอาทิตย์ถือว่าเป็นปัจจัยหลักโดยตรงต่อโอกาสเกิดแสงเหนือ แสงใต้ แน่นอนว่าการเดินทางในแต่ละครั้งก็หมายถึงเงินจำนวนมาก และความปลอดภัย เพราะฉะนั้นควรศึกษาข้อมูลให้ดี ให้ละเอียด และแม่นยำที่สุดก่อนออกเดินทาง