นิยายสั้น เรื่อง รักจากดวงดาว

ในวันที่อากาศเป็นใจ เมฆครึ้มแดดไม่ร้อนมาก แต่ใครบางคนยังคงเหงื่อตก โชคยังดีที่เสื้อกล้ามตัวสวยช่วยระบายอากาศได้มาก ไม่ต้องคอยกระพือเสื้อยืดให้ลมเข้าเหมือนคราวก่อนที่เธอเคยมาเยือนประเทศแห่งนี้

“ขอโทษค่ะ…ไม่ทราบว่าท้องฟ้าจำลองต้องลงสถานีไหนคะ”   เสียงหญิงสาวชาวต่างชาติทำให้เจ้าหน้าที่ต้องนึกประโยคที่จะตอบชั่วครู่ ก่อนจะเปล่งเสียงออกมาแบบไม่แน่ใจในความถูกต้องนัก

“สถานีเอกมัยค่ะคุณ…เดี๋ยวขึ้นบันไดไปทางนี้เลยนะคะ”

“ขอบคุณค่ะ” นักท่องเที่ยวสาวยิ้มรับ แม้จะหาข้อมูลไว้ก่อนแล้ว แต่เพื่อความแน่ใจก็ควรจะถามซ้ำอีกทีเผื่อมีอะไรเปลี่ยนแปลง

ภายในขบวนรถไฟฟ้าในเวลาค่อนข้างสายแออัดน้อยกว่าเช้าตรู่ที่ทุกคนแย่งชิงพื้นที่บนรถฟ้าเพื่อรีบไปให้ทันเวลาทำงาน หากแต่ก็ยังไม่มีที่ว่างให้หญิงสาวที่ตัวโตเกินมาตรฐานเอเชียอย่างเธอได้นั่งอยู่ดี ด้วยสายตาพิฆาตจากสตรีบางคนที่สื่อได้ว่า…

ตัวโตถึกๆอย่างเธอน่ะไม่ต้องนั่งหรอกย่ะ ให้สาวไซส์มินิอย่างฉันนั่งเถอะ…

ไม่ต้องรอนานมากนักรถไฟฟ้าก็จอดที่สถานีเป้าหมาย ร่างระหงมองหาเจ้าหน้าที่ใกล้ๆเพื่อสอบถามเส้นทางรวมถึงค่าใช้จ่าย เพื่อไม่ให้โดนคนขับแท็กซี่โกงง่ายๆอย่างที่หลายคนเตือนก่อนที่เธอจะเดินทางมาที่นี่

“นักท่องเที่ยวเชิญซื้อบัตรด้านนี้เลยนะครับ”   เสียงตะโกนเรียกลูกค้าจากห้องประชาสัมพันธ์ทำให้หญิงสาวละสายตาจากโทรศัพท์เครื่องจิ๋วไปมอง เท้าก้าวเร็วๆไปต่อคิวก่อนนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่กว่า7-8คนที่กำลังตกลงกัน

ค่าเข้าของท้องฟ้าจำลองแห่งนี้จัดว่าไม่ได้แพงมากสำหรับหญิงสาว เธอเดินทางไปเที่ยวมาแล้วหลายที่ในหลายๆประเทศ ซึ่งบางแห่งนั้นแพงกว่านี้ลิบลิ่ว

“รอบบ่ายก็มีงั้นเหรอ…งั้นไปเดินดูโซนอื่นก่อนดีกว่า” หญิงสาวหย่อนบัตรลงในกระเป๋าเป้ใบกะทัดรัดที่แบกมาด้วย

คนชอบดูดาวอย่างเธอคงหนีไม่พ้นการตามหาสถานที่ดูดาวสวยๆ พร้อมกล้องตัวโปรดสักตัว กางเต็นท์นอนพร้อมกับดาวเต็มท้องฟ้า และก่อนที่จะเป็นแบบนั้นเธอก็ตั้งใจจะมาที่นี่ก่อน

ด้วยเป็นวันธรรมดาที่ไม่ใช่วันหยุดสำคัญใดๆ นักท่องเที่ยวที่มาจึงเบาบาง  ที่เยอะก็นักเรียนที่มาศึกษาหาความรู้นอกสถานที่กันนี่แหละ ทว่ามันไม่ได้กวนใจเธอแต่อย่างใด หากรู้สึกว่ารำคาญก็เพียงเดินเลี่ยงไปทางอื่นก็เพียงพอ

หญิงสาวเดินวนไปดูตามอาคารต่างๆจนล่วงเลยเวลาเที่ยงไปจนเกือบจะบ่ายแล้ว จึงเดินออกมาหาอะไรรองท้องก่อนจะเข้าชมการดูดาว ซึ่งพอจะมีเวลาเหลืออยู่นิดหน่อย สำหรับเธอแล้วโลกใต้น้ำที่เธอแวะดูมาก็น่าสนใจไม่แพ้ดาราศาสตร์เลยทีเดียว

ในห้องดูดาวที่เธอเข้าไปนั้นมีคนจับจองที่นั่งอยู่ก่อนแล้วพอสมควร แต่เนื่องจากมันไม่ใช่รอบสำหรับนักเรียนจึงเหลือที่นั่งอีกมากให้เธอเลือก ใบหน้าสวยเงยมองโดมสูงที่บัดนี้มืดสนิทอย่างสนใจ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอตื่นเต้นที่จะได้ฟังการบรรยายครั้งนี้เอามากๆ

เสียงเจ้าหน้าที่เอ่ยทักทายนักท่องเที่ยวทุกคนอย่างสุภาพ พร้อมกับโดมด้านบนที่สว่างขึ้นพร้อมกับการบรรยายของเจ้าหน้าที่คนเดิม หญิงสาวปล่อยใจให้สนุกไปกับการดูดาวที่เธอชอบ แสงวิบวับเต็มท้องฟ้าจำลองทำให้เธอแสบตาไปบ้าง แต่ก็ทำให้เธอได้เห็นดวงดาวนับล้านแบบชัดๆต่างจากการไปดูดาวจริงๆมากมาย

ว่ากันว่าเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ ชั่วโมงการดูดาวของหญิงสาวหมดลงในเวลาไม่นาน ร่างระหงเดินออกมาด้านนอก ก่อนจะพบว่านาฬิกาเรือนโปรดหายไปจากข้อมือของตนตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้

หญิงสาววิ่งกลับเข้าไปด้านในห้องดูดาวที่เธอมั่นใจว่าก่อนหน้าจะเข้าไปตอนแรกนั้นนาฬิกาของเธอยังอยู่ดี ในห้องมีเพียงเจ้าหน้าที่สองคนที่กำลังทำงานกันอยู่ซึ่งเธอขออนุญาตพวกเขาแล้ว ขณะที่กำลังก้มๆเงยๆหาอยู่ตรงที่นั่งก็ต้องหันไปตามเสียงเรียกจากด้านหลัง

“ขอโทษครับ…ไม่ทราบว่าหาอันนี้อยู่รึเปล่าครับ” ชายหนุ่มยื่นสิ่งที่เธอกำลังหามาตรงหน้า ไฟในห้องแม้จะริบหรี่แต่ก็พอให้หญิงสาวจะมองเห็นอะไรๆได้ชัดเจน

“โอ้…ใช่ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”    หญิงสาวรับของมาเพ่งพิศดูความเสียหายก่อนจะถอนใจโล่งอก เมื่อของสำคัญยังอยู่ในสภาพดีกว่าที่หวังไว้ และต่อให้มีตำหนิจริงๆก็ยังดีกว่าไม่ได้คืนซะเลย

“โชคดีนะครับที่นาฬิกาของคุณสะท้อนแสงให้ผมเห็นพอดี ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะไม่ได้คืน” เขาเล่าก่อนเพราะเดาได้ว่าเธอน่าจะถามอยู่แล้ว ซึ่งก็จริงอย่างที่เขาคิด

“ใช่ค่ะ…ต้องขอบคุณอีกครั้งนะคะคุณ…” หญิงสาวเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ในใจเธอก็นึกอยู่แล้วว่าหากเธอหาเจอจนถึงเวลาของรอบถัดไป เธอก็อาจจะไม่ได้มันคืนมาอีกเลย

“กฤตภาสครับ…เรียกว่า คริส ก็ได้นะครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้มและลักยิ้มข้างแก้มอันเป็นเอกลักษณ์  ชื่อเล่นของเขานั้นมักจะเอาไว้แนะนำกับชาวต่างชาติเพื่อไม่ให้เรียกยากนั่นเอง

“แล้วคุณล่ะครับ…”

“ฉันชื่อทิอาค่ะ…ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” รอบนี้หญิงสาวตอบกลับมาเป็นภาษาไทยแบบแปล่งๆ ทำให้คนฟังขำหน่อยๆ

“คุณพูดไทยได้ด้วยเหรอครับ…” กฤตภาสถามยิ้มๆ ไม่แปลกที่นักท่องเที่ยวจะพูดไทยได้บ้างๆนิดๆหน่อยๆ ซึ่งเขาก็เห็นออกบ่อยในสมัยนี้

“อ๋อค่ะ…คุณพ่อของฉันเป็นคนไทยน่ะค่ะ เลยพอได้ฟังมาบ้าง แต่พูดได้แค่คำง่ายๆค่ะ…ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง”           

ทิอาแนะนำตัวเอง ใครก็คิดว่าเธอไม่ใช่คนไทยแม้จะมีสายเลือดไทยอยู่เสี้ยวหนึ่งเพราะใบหน้าที่ออกไปทางเอเชียเหมือนมารดามากกว่า บิดาของเธอเป็นลูกครึ่งไทย-จีน ส่วนมารดานั้นเป็นคนฮ่องกง ญาติและครอบครัวส่วนใหญ่ก็อยู่ฮ่องกง จึงแทบไม่ได้ใช้ภาษาไทยเอาซะเลย

“คุณชอบดูดาวเหรอครับ” ชายหนุ่มเปิดคำถามใหม่ เมื่อตอนที่ฟังเธอแนะนำตัวสายตาพลันเหลือบไปเห็นพวงกุญแจรูปกล้องดูดาวอันเล็กที่ห้อยอยู่กับกระเป๋าของเธอเข้า ซึ่งมันไม่ใช่ของที่ระลึกที่ขายอยู่ที่นี่เสียด้วย

“ใช่ค่ะ…ฉันชอบดูดาวมาก ตั้งใจว่าจะไปดูดาวที่ต่างจังหวัดด้วยค่ะ” เธอบอกแพลนของตัวเองอย่างไม่คิดปิดบังอะไร

“ดีจังเลยนะครับ…ผมดีใจที่รู้ว่ามีคนชอบดูดาวเพิ่มขึ้นอีก นึกว่าเดี๋ยวนี้จะไม่มีคนชอบเรื่องแบบนี้แล้วซะอีก”

“เอ…เสียงของคุณคริสคุ้นจังเลยค่ะ ใช่เจ้าหน้าที่บรรยายรอบบ่ายรึเปล่าคะ” ทิอาไม่ตอบคำถาม แต่เปลี่ยนไปถามในสิ่งเธอคาใจแทน

“ใช่ครับ…ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์จำได้”  

“ถ้าไม่รังเกียจไปดูดาวด้วยกันไหมคะ…ถือเป็นการตอบแทนที่ช่วยเก็บนาฬิกามาให้ ฉันเป็นเจ้ามือเองค่ะ” หญิงสาวหยั่งเชิง รู้ว่าเขาเองก็น่าจะชอบดูดาวเหมือนกันแน่นอน

“ขอรับไว้เฉพาะน้ำใจที่ชวนนะครับ แต่ผมคงปล่อยให้สาวๆมาเป็นเจ้ามือเลี้ยงตลอดทริปไม่ได้หรอกครับ…” เขาแย้งเสียงเด็ดขาด           

“ถ้าหากคุณทิอาไม่รีบ…เป็นวันเสาร์นี้ดีไหมครับ ผมจะได้ลางานด้วย…ที่สำคัญผมมีที่ที่อยากจะพาไปนะครับ รับรองคุณจะต้องชอบแน่”

กฤตภาสบอกแพลนของเขาบ้าง เนื่องจากนัดกะทันหันซึ่งเขาไม่สามารถลางานทันทีได้ และดูเหมือนอีกฝ่ายก็จะเข้าใจเรื่องนี้ดี

“ได้ค่ะ ฉันสะดวกเสมอ…ฉันมีเวลาอยู่ที่นี่อีกราวเกือบเดือนแน่ะค่ะ”

ทิอายกข้อมือขึ้นมาดูเวลาจากนาฬิกาเรือนโปรดที่บัดนี้ถูกสวมกลับเข้าที่ของมันเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะเอ่ยคำลาเมื่อถึงเวลาอันสมควร โดยไม่ลืมแลกเบอร์ติดต่อกับเขาเอาไว้ด้วย

“เจอกันวันเสาร์นะคะ” หญิงสาวโบกมือลาอย่างร่าเริง นอกจากวันนี้เธอจะได้ดูดาวแสนสวยแล้ว ยังได้เพื่อนใหม่ที่ชอบดูดาวเหมือนกันอีกด้วย เธอจึงมีความสุขมากเป็นพิเศษ

…ก็แน่นอนว่าเพื่อนที่เข้าใจเราไม่ได้หาง่ายๆนี่นะ…

เวลาสี่วันผ่านไปเร็วกว่าที่คิด เช้ามืดในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่รถไม่ค่อยติดเท่าวันธรรมดา ทิอานัดกับไกด์ส่วนตัวอย่างกฤตภาส ไว้ที่ป้ายรถเมล์แห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากบ้านของเขานัก ชายหนุ่มวิ่งกระหืดกระหอบมาพร้อมกับเป้ใบโตที่แบกประจำเวลาเดินทางไกล

“ขอโทษที่มาช้านะครับคุณทิอา…มันเช้ามืดเกินไปรถเลยไม่ค่อยมีครับ” สิ่งที่เขาพูดก็ไม่ได้เกินจริงไปนัก เมื่อบ้านของชายหนุ่มนั้นอยู่เกือบก้นซอย แถมนานๆทีจะมีรถผ่านมา ยิ่งช่วงเช้ามืดของวันหยุดด้วยแล้วยิ่งรอนาน เพราะวินประจำนั้นมีเป็นบางจุดเท่านั้น ทว่าจะเดินถึงวินก็ปาไปเกือบครึ่งซอย

“ไม่เป็นไรค่ะ ทิอาเพิ่งมาถึงสักห้านาทีเองค่ะ” หญิงสาวแทนชื่อตัวเองเมื่อสนิทกับเขามากขึ้นระดับหนึ่ง หลังจากที่คุยเล่นกันมาสามสี่วันได้ อันที่จริงทิอามาถึงก่อนเขาเกือบยี่สิบนาที แต่เธอไม่อยากให้รู้สึกไม่ดีที่ปล่อยให้เธอรอนาน จึงไม่บอกเวลาจริงกับเขาไป

หลังจากที่ชายหนุ่มก้าวมานั่งข้างคนขับ สาวสวยที่รับหน้าที่พลขับรถก็เปิดฉากถามทันที เพราะคนข้างกายอุบเงียบไม่ยอมบอกจนกระทั่งวันนี้ แต่หากยังไม่ตอบอีกเธอคงไม่รู้จะพาเขาไปได้อย่างไร

“ตกลงว่าจะพาไปไหนคะคุณไกด์พิเศษ…”  หญิงสาวถามกวนๆ คิ้วเล็กเลิกขึ้นนิดหน่อย

“เอิ่ม…ต้องบอกแล้วสินะครับ…ไปน่านครับ” กฤตภาสบอกพลางอมยิ้ม  เขายังไม่บอกสถานที่แบบเจาะจง เพียงบอกแต่จังหวัดเท่านั้น

“ตกลงจะไม่ยอมบอกจริงๆเหรอคะเนี่ย” ศีรษะเล็กๆส่ายไปมาเหมือนจะยอมแพ้

“เอาเป็นว่าขับไปถึงน่านก็พอครับ เดี๋ยวผมขับต่อเองครับ…หรือถ้าเหนื่อยตอนไหนก็บอกนะครับ” ชายหนุ่มเสนอ เขาไม่อยากให้เธอต้องขับรถขึ้นเขาเอง มันคงไม่คุ้นมือเท่าไหร่หากไม่ใช่คนที่เคยขับมาก่อน

กฤตภาสนั่งข้างคนขับด้วยท่าทีผ่อนคลายมากขึ้นหลังจากพ้นเขตเมืองหลวงมาได้ ต้องยอมรับปกติเขาขับรถเองเสียส่วนใหญ่แถมยังค่อนข้างระมัดระวังอีกด้วย พอต้องเป็นผู้โดยสารทีไรก็ต้องมานั่งลุ้นทุกทีว่าจะเจอคนขับรถแบบไหน ถึงแม้ว่าหญิงสาวข้างๆจะขับรถหวาดเสียวไปบ้างในบางครั้ง แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ของเขา

ชายหนุ่มถือวิสาสะเอื้อมไปเปิดเพลงฟังคลายความเงียบในรถ หลังจากคุยกันจนเมื่อยจึงหยุดไปเสียดื้อๆ สักพักจึงได้ยินเสียงเพลงคลอมาจากคนขับรถ ปากเล็กได้รูปอมยิ้มคล้ายอารมณ์ดีตลอดเวลา เขาเลยพลอยผ่อนคลายไปด้วย นานๆเข้าก็ฮัมเพลงตามบ้าง

“หืม…คุณคริสร้องเพลงเพราะจังเลยคะ” หญิงสาวเอ่ยชมด้วยความแปลงกใจเพียงเล็กน้อยเพราะเธอเองเห็นว่าเสียงของนั้นแม้ตอนพูดก็ยังรื่นหู

“ขอบคุณครับ…หลายคนก็บอกผมแบบนี้ แต่ผมก็ไม่เคยกล้าขึ้นไปร้องสักที ฮ่ะๆ” เขานึกถึงคำพูดของเพื่อนๆ แต่เขาเองไปคนไม่กล้าแสดงออกสักเท่าไหร่ กว่าจะเป็นอย่างทุกวันนี้ต้องใช้เวลาฝึกนานเลยทีเดียว

หลังจากนั้นทั้งรถก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ทิอาตั้งหน้าตั้งตาขับรถ สายตาสอดส่องหาร้านอาหารรองท้องในมื้อเช้าที่ยังไม่มีใครได้กิน ต่างจากกฤตภาสที่คอยลอบมองใบหน้าของคนขับรถสาวสวยอยู่หลายครั้ง

“คุณคริสคะ…ถ้ามองแต่หน้าฉัน เราจะได้กินข้าวกันไหมคะเนี่ย” ทิอาแซวขำๆ แม้เธอจะมองเส้นทางตรงหน้า แต่หางตาก็เห็นกิริยาท่าทางของเขาชัดเจน

“อ่า…ขอโทษครับ ผมเผลอไปหน่อย” เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้มกระชากใจสาวๆ  ไม่รู้ทำไมถึงละสายตาจากเธอไม่ได้เสียที หญิงสาวข้างๆแม้ไม่ได้สวยมาก แต่เธอกลับมีใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ไม่โขลกกันออกมาเหมือนสาวๆสมัยนี้

ตาคมมองออกไปภายนอกรถบ้าง ก่อนจะประเมินว่าถัดจากตรงนี้ไปจะมีร้านอาหารใดน่าสนใจบ้าง

“เดี่ยวเลยแยกหน้าไปสักสองกิโลคุณมองซ้ายมือนะครับ จะมีร้านขนมจีนร้านนึงไม่ใหญ่มาก แต่อร่อยใช้ได้เลยครับ”             ชายหนุ่มบอกเป้าหมาย ซึ่งไม่ใช่ร้านที่มีชื่อเสียงอะไร เพียงแต่เป็นร้านประจำที่เขาแวะทานเกือบทุกครั้งที่ผ่านมาทางนี้

กฤตภาสคอยดูแลเธอระหว่างอยู่ในร้านอาหารได้เป็นอย่างดี เพราะร้านนี้เป็นแบบบริการตัวเอง ลูกค้าแน่นร้านพอสมควร หากก็มีที่ว่างอยู่บ้าง

“ลองชิมดูนะครับ” เขาตักเส้นขนมจีนที่จัดไว้เป็นคำๆใสจานของเธอ ก่อนจะตักน้ำราดที่มีหลายชนิดลงบนขนมจีนแต่คำโดยไม่ซ้ำกัน

หญิงสาวยิ้มให้แทนคำขอบคุณ โชคดีที่เธอกินง่ายอยู่ง่าย ดังนั้นเวลาเดินทางจึงไม่มีปัญหาเรื่องการกินเท่าไรนัก

“อื้ม…อร่อยจริงด้วยค่ะ” เธอพยักหน้าขึ้นลงซ้ำๆ ก่อนจะรีบกินอย่างว่องไวไม่ให้เสียเวลาเดินทาง

จากกรุงเทพถึงน่านด้วยฝีมือของทิอาที่ยิงยาวแบบไม่ยอมเปลี่ยนมือ ทั้งสองก็มาถึงในช่วงบ่ายๆของวัน จึงตัดสินใจแวะหาอะไรกินรองท้องมือเที่ยงที่เลยเวลามาแล้ว ก่อนจะค่อยไปยังที่พักที่เลือกไว้

กฤตภาสนั่งที่คนขับแทนคนข้างๆที่น่าจะเพลีย เพราะเมื่อรถออกตัวมาได้ไม่ถึงสิบห้านาทีดีร่างระหงก็ผล็อยหลับไปเสียแล้ว ไกด์พิเศษจึงได้ยิ้มด้วยความเอ็นดู

…ดีเหมือนกัน ตื่นมาจะได้เซอร์ไพรส์เลย…

กว่ารถจะขับถึงจุดหมายปลายทางก็เย็นเข้าไปแล้ว ช่วงหน้าหนาวค่อนข้างค่ำไว กฤตภาสจึงต้องรีบมาให้ถึงก่อน จะได้ไม่ลำบากในการเตรียมที่พัก โชคดีที่ยังไม่ถึงช่วงเทศกาล แม้จะเป็นช่วงไฮท์ซีซั่นเหมือนกันแต่คนก็ไม่เยอะ ไม่มีเสียงดังรบกวนใดๆ

“ว้าว!…สวยจังเลยค่ะ” ทิอาเดินลงมาจากรถก่อนจะมองไปรอบๆ มีจุดชมวิวสวยๆอยู่ไม่ไกลจากลานกางเต็นท์ตรงนี้สักเท่าไหร่ ซึ่งหญิงสาวตั้งใจว่าจะต้องรีบเดินไปดูให้ไว

“สวยเหมือนที่ผมโม้ไว้มั้ยล่ะครับ…นี่แหละดอยเสมอดาวครับ”

กฤตภาสเยี่ยมหน้าเข้าไปถามใกล้ๆ หลายวันก่อนที่เจอเดินทางมา เขาบอกเธอไว้ว่าที่นี่สวยมาก จนเธอกระแซะว่าเขาโม้เกินจริง  เขาจึงท้าให้เธอมาพิสูจน์ด้วยตาเธอเอง

“เดี๋ยวตอนกลางคืนจะสวยยิ่งกว่านี้อีกนะครับ”

“สวยจริงๆด้วยค่ะ…” 

หญิงสาวรู้สึกหมั่นไส้คนที่เธอแอบบ่นว่าเขาขี้โม้  แต่ก็ยอมรับว่าสวยอย่างที่เขาว่าจริงๆ ขนาดยามนี้ที่ราตรีกาลยังไม่มาเยือนยังสวยขนาดนี้ แสงสีทองสลับชมพูจับขอบฟ้า บ่งบอกว่าใกล้เวลาพลบค่ำเข้ามาทุกที

“แต่คุณสวยกว่านะครับผมว่า…” คำชมของเขาทำเอาเธอหันขวับมาทันที

“สวยกว่ายังไงคะ” เธอสงสัย จะมีใครที่ไหนสวยกว่าดาวบนท้องฟ้าได้อีก แต่จากสายตาหวานของเขาแปลว่าเขาคงพูดจริง

“ก็…สวยแบบเป็นตัวของตัวเองล่ะครับ ดาวบนท้องฟ้าสวย..แต่ก็มองแล้วเหมือนกันไปหมด ไม่เหมือนคุณ” ชายหนุ่มบอกยิ้มๆ

“งั้นเชียว…นี่แอบชอบฉันรึเปล่าคะเนี่ย” เธอกระเซ้า

“แล้วถ้าบอกว่าชอบ…จะอนุญาตให้จีบไหมล่ะครับ” เขาลองหยั่งเชิงดูคล้ายไม่จริงจังนัก

“เห…พูดจริงเหรอคะ” หญิงสาวหน้าแดงระเรื่อขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว เมื่อถูกรุกซึ่งหน้าเช่นนี้แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอถูกใจความตรงไปตรงมาของเขาไม่น้อย

“ครับ…ผมชอบคุณทิอา มันอาจเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่นาน แต่มันก็มากพอที่ทำให้ผมอยากลองศึกษาคุณอย่างจริงจัง…คุณ…จะให้โอกาสผมสักนิดได้ไหมครับ”

พูดไปเขาก็ลุ้นกับคำตอบที่จะตามมา ทว่าเขาก็ทำใจเผื่อเอาไว้แล้ว อย่างน้อยก็มีโอกาสมากว่าแอบชอบเธออยู่แบบนั้นจนหมดเวลาที่จะได้เจอกันนั่นแหละ

ก่อนที่เขาจะยิ้มกว้างออกมาอย่างลิงโลด เมื่อทิอายิ้มหวานให้แทนคำตอบก่อนจะวางมือของเธอลงบนมือหนาของเขาที่ยื่นไปรอ จับจูงเธอเดินไปตามทางด้วยความรู้สึกที่ต่างจากตอนมาคนเดียวโดยสิ้นเชิง

ทั้งสองคนช่วยกันกางเต็นท์ตรงจุดที่เจ้าหน้าที่อนุญาต เต็นท์ขนาดไม่ใหญ่นักสำหรับนอนไม่เกินสองคนตั้งอยู่ข้างๆกัน หญิงสาวไม่มีปัญหาเรื่องเต็นท์เพราะเธอตั้งใจมาดูดาวอยู่แต่แรก เพียงแต่คนละที่ก็เท่านั้น ของกินที่ซื้อตุนไว้ถูกลำเลียงมาไว้ที่แผ่นปูรองนั่งหน้าเต็นท์นอน

ไม่มีใครเอาอุปกรณ์ทำอาหารมาเพราะความคล่องตัว จึงอาศัยเตรียมซื้อมาจากข้างล่างแทน  ด้วยรู้ว่าหากขึ้นมาแล้วอาจไม่มีอะไรขายเลย

“ไปกันเลยไหมครับ…” ชายหนุ่มหันไปชวนเพื่อนร่วมทางที่กำลังเคี้ยวข้าวเหนียวหมูปิ้งตุ้ยๆ หลังจากเห็นถุงที่เหลือแต่ไม้เสียบ ส่วนอาหารนั้นถูกจัดการไปหมดแล้ว

หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงักเพราะอาหารยังเต็มปาก พลางถือขวดน้ำขวดเล็กเดินตามไกด์ส่วนตัวที่แบกกล้องดูดาวแบบส่วนตัวมาด้วยไป

ท้องฟ้าในตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ แสงอาทิตย์หายไปจนหมดแล้ว หากมีแสงดาวระยับเต็มฟากฟ้ามาทักทายแทน หญิงสาวเงยหน้ามองหมู่ดาวเหล่านั้นที่เสมือนอยู่ใกล้ตัวเธอเพียงมือเอื้อมเท่านั้น

“เพราะอย่างนี้ใช่ไหมคะ ถึงเรียกว่าดอยเสมอดาว” ทิอาถามพลางกางแขนและหมุนรอบตัวช้าๆ ทั้งที่ใบหน้ายังแหงนเงยอยู่กับดวงดาวนับล้านล้านดวง ชายหนุ่มที่มองท่าทางตื่นเต้นเหมือนเด็กของเธอแล้วยิ้มขำ

“ใช่ครับ…มันใกล้มากเลยใช่ไหมล่ะ” เขาเขยิบไปตั้งกล้องบนเนินข้างบนแต่ไม่ใกล้รั้วไม้ยาวที่กั้นไว้นัก ด้วยกลัวของหรือคนจะหล่นลงไป

“มาดูนี่สิครับ” เขากวักมือเรียกให้หญิงสาวเดินมาหา หลังจากเซ็ตทุกอย่างเรียบร้อย

“ว้าวว!!…มันสวยมากเลยค่ะ” ทิอาหันมายิ้มตื่นเต้นให้เขา จากที่เห็นเมื่อกี๊แล้วว่ามันสวยมาก ยิ่งเห็นใกล้ๆผ่านกล้องดูดาวยิ่งสวยเข้าไปอีก สวยจนเธอแทบอยากจะหยิบดาวสักดวงติดมือกลับบ้านไป แต่ใจหนึ่งเธอก็คิดว่าหากมันไม่ได้อยู่บนท้องฟ้า ดาวก็คงไม่เปล่งประกายสวยเช่นนี้

“คุณทิอาชอบดาวดวงไหนที่สุดครับ” กฤตภาสหันมาถามเธอที่ละสายตาจากกล้องดูดาวแล้วคว้ากล้องตัวโปรดขึ้นมาถ่ายแทน เธอเคยบอกกับเขาไว้ว่าเธอชอบถ่ายรูปรองมาจากการดูดาวด้วย ชายหนุ่มเชื่อว่าคนดูดาวจะมีดาวที่ตนเองชอบอยู่ในใจแทบทุกนั่นแหละ

“อืมมม…ทิอาชอบดวงอาทิตย์ค่ะ” หญิงสาวตอบพร้อมรอยยิ้มขำ รู้ว่าเขาต้องสงสัยแน่ เพราะหลายคนที่เธอเคยบอกล้วนทำหน้าฉงนกันแทบทั้งนั้น

“แล้วกัน…ไหงงั้นล่ะครับ” ชายหนุ่มแกล้งถอนใจ แม้ดวงอาทิตย์จะเป็นดาวฤกษ์เหมือนกัน แต่เขาไม่เคยถามใครแล้วได้คำตอบแบบนี้มาก่อนเลย

“ก็…ทิอาชอบดูดาวนี่คะ แต่ทิอาแยกไม่ออกเพราะดาวทุกดวงหน้าตาเหมือนกันหมดเลย แต่ทิอาคิดว่าถ้าไม่มีแสงจากดวงอาทิตย์ ดาวน้อยๆพวกนี้ก็คงไม่ส่องแสงระยิบระยับสวยๆให้เราได้ดูหรอก…จริงไหมคะ” ทิอาหันไปยิ้มตาหยีให้กับไกด์ส่วนตัวที่กำลังอึ้งไปกับเหตุผลของเธอจนต้องเอ่ยชม

“คุณทิอานี่คิดลึกซึ้งดีนะครับ…”   

ซึ่งในสิ่งที่เธอพูดมาก็จริง หากมองด้วยตาเปล่าดาวทุกดวงที่เราเห็นมันก็หน้าตาคล้ายกันทั้งนั้น ถ้าไม่จำตำแหน่งหรือลักษณะของกลุ่มดาวให้ได้ก็คงไม่รู้ว่ามันคือดาวอะไรอยู่ดี และก็มีหลายคนที่ดูดาวเพราะชอบแสงดาวพวกนี้ แต่ไม่ได้อยากรู้ว่ามันคือดาวอะไรหรือหน้าตาเป็นยังไง เพียงแค่รู้สึกดีที่ได้มองก็เท่านั้น

“ขอบคุณค่ะ…แล้วคุณคริสล่ะคะชอบดาวดวงไหน” หญิงสาวถามกลับบ้าง

“พระจันทร์ครับ” กฤตภาสตอบยิ้มๆ  มันช่างตรงข้ามกับเธออย่างสิ้นเชิง

“หืม…ทำไมล่ะคะ…ทิอาคิดว่าจะตอบดาวเหนือซะอีก” เธอค้านอย่างแปลกใจ

…นี่คำตบสุดฮิตเลยนะ คนชอบเยอะแยะ…

“อ้าว…ผมผิดตรงไหนครับเนี่ย…ผมชอบพระจันทร์ก็เพราะมันหน้าตาไม่เหมือนดาวดวงอื่น มองหาง่ายดีครับ แถมยังแปลงร่างได้ด้วย เจ๋งไหมล่ะครับ หึหึ” เขายักคิ้วให้ราวกับจะบอกว่า …แล้วพระอาทิตย์ทำแบบนี้ได้เปล่าล่ะ…  ยังไงอย่างงั้น

“อ๋อ…อย่างนี้นี่เอง” หญิงสาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“แล้วคุณเคยได้ยินตำนานดวงจันทร์ไหมครับ”        

“ไม่เคยค่ะ เป็นไงเหรอคะ…” ทิอาถามสีหน้าอยากรู้ จนคนจะเล่าแอบขำ เธอเหมือนเด็กที่ชอบซักถามไปซะหมด โดยเฉพาะเรื่องที่เธอสนใจ

“มีตำนานเล่าว่า…ในอดีตมีพระจันทร์อยู่สองดวงหญิงกับชายที่เป็นคนรักกัน ต่อมาพระจันทร์ผู้หญิงก็แอบหลงรักพระอาทิตย์จนแอบตามไปเรื่อยๆทิ้งให้พระจันทร์ชายส่องแสงอยู่ลำพัง…”  เขาเว้นวรรคพลางมองหน้าคนที่จ้องเขาตาแป๋วอย่างตั้งอกตั้งใจฟัง แม้ตาจะเล็กนิดเดียว

“จนพระจันทร์แบ่งตัวเองให้กระจายออกเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆไปทั่วจักรวาลเพื่อตามหาพระจันทร์หญิงให้เจอ พอพระจันทร์หญิงเลิกหลงรักพระอาทิตย์ก็ลอยกลับมาหาคนรัก แต่กลับไม่เจอเขาแล้ว เลยได้แต่คิดถึงพระจันทร์ชายอยู่อย่างนั้นจนถึงทุกวันนี้ไงล่ะครับ…ว่ากันว่าเศษเสี้ยวของพระจันทร์ชายที่แตกกระจายไปก็กลายเป็นดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้านี่แหละครับ”

“เศร้าจังเลยนะคะ…น่าเสียดายแทนความรักของพระจันทร์” หญิงสาวทำหน้าเศร้าลงเมื่ออินตามเรื่องที่เขาเล่าให้ฟัง

“ครับ…แต่ถ้าคิดในแง่ดี ถ้าหากไม่เป็นแบบนั้นเราก็อาจไม่มีดาวสวยๆให้มองนะครับ” กฤตภาสยิ้มกว้าง เพื่อดึงให้คนตรงหน้ากลับมาร่าเริงอีกครั้ง

“แล้วถ้าเป็นคุณคริส…จะทำแบบพระจันทร์ชายไหมคะ” ทิอาอมยิ้มกับคำถามของตนเองที่ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอถามออกไปแบบนั้น …คงเพราะความอ่อนโยนของเขาล่ะมั้ง…

“ไม่ล่ะครับ…” ชายหนุ่มตอบแบบไม่เสียเวลาคิดเลย

“ทำไมล่ะคะ…” หญิงสาวถามอย่างฉงน ผิดคาดกับคำตอบของเขาอีกครั้ง

“ก็เพราะ…ผมเป็นพระจันทร์สาวที่หลงเสน่ห์พระอาทิตย์เข้าให้แล้วสิครับ คงทำแบบนั้นไม่ได้หรอก” เขาตอบกลับแบบที่คนรอฟังถึงกับหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา ได้แต่แอบบ่นในใจ

…ก็ดีใจหรอกนะ ที่มีคนมาจีบ แต่ไม่ต้องพูดให้เขินแบบนี้ก็ได้มั้ย…

“แล้วอย่างนี้พระจันทร์อีกดวงที่รออยู่ก็เสียใจแย่สิคะ…” ทิอารีบปรับสีหน้าให้ปกติก่อนจะเนียนถามกลับ ชายหนุ่มจึงอมยิ้มที่อีกฝ่ายอยากรู้เรื่องของเขาบ้างแล้ว

“ไม่หรอกครับ…เพราะพระจันทร์ดวงนี้ไม่มีคนจองครับ”

“ถ้าไม่รับรักจะผิดไหมคะเนี่ย…” หญิงสาวขำเบาๆเมื่อได้ยินประโยคตั้งใจเลี่ยนของเขา

“ก็…ถ้าไม่สงสารพระจันทร์ที่จะขาดแสงจากดวงอาทิตย์ก็เอาสิครับ”  เขาตัดพ้อเสียงเศร้าแบบที่ใครฟังก็รู้ว่าแกล้ง

“โอ้โห…เล่นใหญ่กว่าทิอาอีกนะคะคุณคริส…แบบนี้ไม่ตกลงก็คงใจร้ายเกินไปแล้วนะคะเนี่ย”   

“จริงนะครับ…” ชายหนุ่มแทบจะร้องอย่างยินดีให้ก้องภูเขา ถ้าไม่ติดว่ามันดึกเกินกว่าจะตะโกนให้คนอื่นๆที่กำลังพักผ่อนแตกตื่น

“ค่ะ…แต่ลองคบกันดูก่อนนะคะ ไม่รู้ทำไมทิอาถึงคิดว่าเราน่าจะเข้ากันได้ดี” หญิงสาวพูดในสิ่งที่เธอรู้สึกออกมาตรงๆ เธอไม่อยากเสียเวลาไปโดยไม่เข้าใจกัน

“อาจจะเพราะเรามีความชอบที่เหมือนกันล่ะมั้งครับ…คงต้องปล่อยให้เวลาพาเราไป…” เขาเองแม้จะบอกชอบเธอไปแล้ว แต่ก็แค่ความรู้สึกชอบซึ่งมันอาจจะพัฒนาไปทางไหนก็ได้ในอนาคต และมันไม่อาจการันตีได้ว่านอกจากเรื่องความชอบแล้วเรื่องอื่นๆจะเข้ากันได้ คงต้องใช้เวลาเรียนรู้กันอีกนาน

“ขอบคุณที่เข้าใจทิอานะคะ” หญิงสาวยิ้มหวานให้เขา เป็นครั้งแรกที่กฤตภาสมองเห็นว่ารอยยิ้มของหญิงสาวตรงหน้านี้งดงามกว่าดาวบนท้องฟ้าเสียอีก

“Good night kiss ครับคุณทิอา” ชายหนุ่มจุมพิตบนหลังมือของหญิงสาวเบาๆอย่างให้เกียรติ คงไม่เหมาะหากเขาจะขโมยหอมแก้มเธอหลังจากคบกันได้แต่ไม่กี่นาที

“ราตรีสวัสดิ์นะคะคุณคริส” ทิอาลดมือลงมาไว้ข้างตัวเช่นเดิม ก่อนที่ทั้งสองจะเดินกลับเต็นท์ไปด้วยกัน ดาวบนท้องฟ้ายังคงทอประกายวาววับราวกับจะอวยพรให้คนทั้งคู่และส่งหลายคนให้หลับฝันดีในค่ำคืนนี้

“พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้าเลยนะครับคุณทิอา…ถ้าโชคดีเราจะเห็นทะเลหมอกที่นี่ด้วยนะครับ” กฤตภาสบอกทิ้งท้ายก่อนจะมุดเข้าเต็นท์ของตนเองไปพร้อมรอยยิ้มสุขใจ

“ค่ะ”  ทิอารับคำอย่างเต็มใจ เพราะเธอเองก็อยากตื่นมารับแสงตะวันตอนเช้าตรู่เช่นกัน

เช้าวันใหม่ที่พระอาทิตย์ยังไม่โผล่ขึ้นมาให้เห็น มีเพียงแสงสีทองรำไรที่จับขอบฟ้าทำให้มองเห็นทะเลหมอกที่กินพื้นที่กว้างและสวย แม้จะไม่เท่าทะเลดาวเมื่อคืนสำหรับทิอาก็ตาม ร่างระหงในเสื้อกันหนาวตัวไม่หนายืนจับภาพความประทับใจนั้นด้วยกล้องใบโปรดโดยมีไกด์ส่วนตัวคอยถ่ายรูปเธออีกที

“หนาวไหมครับ” ชายหนุ่มส่งแก้วโกโก้ร้อนให้หญิงสาว ด้วยเธอบอกว่าไม่ชอบดื่มกาแฟสักเท่าไหร่

“ไม่เลยค่ะ เย็นสบายดีค่ะ…ที่ฮ่องกงหนาวกว่าที่นี่เยอะเลยค่ะ” หญิงสาวยิ้มบางๆให้อีกฝ่ายไม่ต้องห่วงเธอ

“งั้นคืนนี้ไปอีกที่ไหมครับ…” เขาถาม ตั้งใจว่าจะแวะเที่ยวที่อื่นก่อนในตอนกลางวันก่อนจะเปลี่ยนที่นอนดูดาวในตอนกลางคืน

“ยังมีที่สวยๆแบบนี้อีกเหรอคะ” หญิงสาวถามอย่างตื่นเต้น เธอไม่เคยได้มาเที่ยวแบบนี้เท่าไหร่เพราะมากับเพื่อนๆมากกว่ามาคนเดียว จึงต้องพาเพื่อนไปที่ที่ทุกคนลงความเห็นว่าอยากไป

“มีสิครับ…เดี๋ยวเราเที่ยวเลาะไปเรื่อยๆจนไปถึงเชียงใหม่กัน” ชายหนุ่มตอบพลางเก็บของขึ้นรถไปด้วย เขาอาสาขับรถแทนเธอแบบยาวๆจนจบทริปเลยทีเดียว

“ที่ไหนคะ…รอบนี้ไม่ต้องเซอร์ไพรส์แล้วนะคะ” ทิอาย่นจมูกใส่ มีหวังเธอต้องอกแตกตายกว่าจะไปถึงที่เพราะความอยากรู้แน่ๆ

“เหรอครับ ฮ่ะๆ…ดอยเชียงดาว…รับรองว่าสวยไม่แพ้ที่นี่แน่นอนครับ” คราวนี้เขายอมบอกแต่โดยดี ร่างระหงจึงยอมยิ้มออกมาบ้าง

“ค่า…เชื่อค่ะเชื่อ” หญิงสาวลากเสียงยาว พลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“ป่ะ…ไปครับ” เขาปล่อยมือที่จับจูงเธอมา ก่อนจะเปิดประตูให้เธอขึ้นรถเตรียมออกเดินทางกันอีกครั้งในวันนี้ หวังว่าจะพาเธอเก็บบรรยากาศและความทรงจำดีๆระหว่างกันเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

หลังจากจบทริปดูดาวที่แพ็คเก็จพิเศษแถมฟรีไกด์บรรยายสุดหล่อมาได้เกือบเดือน ทิอาก็แยกย้ายกับแฟนหนุ่มอย่างกฤตภาสชั่วคราวเมื่อเขาไม่สามารถลาหยุดงานพาเธอเที่ยวได้ ซึ่งในเรื่องนั้นหญิงสาวย้ำกับเขาไปว่าไม่มีปัญหา ด้วยตั้งใจว่าจะเที่ยวเองในเมือง ส่วนต่างจังหวัดก็จะให้เวลากับเพื่อนที่เมืองไทยของเธอบ้าง ชายหนุ่มจึงหมดห่วงเรื่องการเดินทางของเธอไปได้

“ไหนว่าจะไปกับเพื่อนไงล่ะครับ” กฤตภาสแอบบ่นคนรักเล็กน้อย เมื่ออาสาขับรถมาส่งหญิงสาวที่สถานีรถไฟหัวลำโพงในวันหยุดงานของเขา

“ก็…ไปกับเพื่อนไงคะ แต่เพื่อนไปรอรับที่สุราษฎ์น่ะค่ะ” หญิงสาวบอกเป้าหมายการเดินทางด้วยรถไฟของเธอ

“ยังไงก็ระวัง…ดูแลตัวเองดีๆด้วยนะครับ ถึงแล้วอย่าลืมบอกนะครับ…ผมเป็นห่วง” ชายหนุ่มได้แต่จุมพิตหลังมือของคนรักเพียงเบาๆด้วยอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายไม่เป็นส่วนตัว ในขณะที่เจ้าของมือบางเพียงอมยิ้มเบาๆเท่านั้น

“ค่ะ ขอบคุณนะคะคุณคริส…ระหว่างที่ทิอาไม่อยู่ห้ามวอกแวกจีบสาวสวยที่ไหนนะคะ” เธอแซวด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงกลับจริงจังจนชายหนุ่มกลั้นขำ

“ผมจะไปมีใครได้ล่ะครับนอกจากทิอา ถ้าจะมี…ก็คงเป็นดาวเคราะห์ดวงในสักดวงในจักรวาลนี้มั้งครับ”           

“ค่าาา…ทำพูดไป” ทิอามองอย่างหมั่นไส้เล็กน้อย

“กลับมาเร็วๆนะครับทิอา…ผมคิดถึง” กฤตภาสตั้งใจหยอดอีกสักหน่อย ช่วงนี้คนรักของเขาออกเที่ยวทั้งกับเพื่อนและคนเดียวบ่อย จนเวลาเจอหน้ากันน้อยลงพอสมควร

“อย่าเว่อร์สิคะคุณคริส ทิอาไปอาทิตย์เดียวเองนะคะ” เธอเริ่มดุขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะงอแงไม่อยากให้เธอไปสักเท่าไร เพียงแต่ขัดความประสงค์ของตัวเธอมิได้

เสียงรถไฟที่เพิ่งเข้ามาจอดที่ชานชาลาเรียกความสนใจจากคู่รักที่กำลังสวีทกันได้เป็นอย่างดี ด้วยถึงเวลาที่ทิอาจะต้องขึ้นรถเสียแล้ว

“งั้นเดี๋ยวทิอาไปก่อนนะคะคุณคริส” พูดจบหญิงสาวก็หยิบเป้ใบใหญ่ที่วางไว้ตรงที่นั่งขึ้นสะพาย ก่อนจะหันมายิ้มหวานให้เขาอีกที

“รีบกลับมานะครับดาร์ลิงค์…ผมมีเซอร์ไพรส์ไว้รอ” กฤตภาสเอ่ยส่งท้าย หวังยั่วให้อีกฝ่ายอยากรู้และกลับมาโดยไว ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะได้ผลเมื่อหญิงสาวขมวดคิ้วสงสัยไม่คลาย

“เดี๋ยวเถอะ…หัดแกล้งกันแล้วเหรอคะเนี่ย” เธอทำหน้ายู่ใส่ พลางก้าวขึ้นรถไฟไปพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่คนรอคอยไม่อาจได้เห็น

…เดี๋ยวก็รู้ ว่าใครจะเซอร์ไพรส์กว่ากัน…

ตั้งแต่เดินทางถึงจุดหมาย  ทิอาก็คอยรายงานตัวกับคนรักอยู่เรื่อย ส่งข้อความผ่านแอพลิเคชันยอดฮิตไปบ้างหากเขาไม่สะดวกรับสาย ทั้งยังส่งรูปถ่ายสวยๆให้เขามากมาย จนเพื่อนๆของเธอต่างแซวถึงอาการอินเลิฟของเจ้าตัวในคราวนี้

“ไงยะ…ส่งรูปอวดแฟนอีกละ อิจฉามากกกก…บอกเลย” อันอัน…เพื่อนสาวลูกครึ่งที่หน้าตาเอียงไปทางหมวยตามสายเลือดฝั่งมารดาเสียมากกว่า

“อะไรล่ะยัยอัน แซวอยู่นั่น…” หญิงสาวไม่ได้เขินอายกับการแซวของเพื่อนๆสักเท่าไร ในเมื่อมันเป็นเรื่องปกติของคนมีความรักทั่วๆไป

“แล้วรูปเมื่อตอนกลางวันอ่ะ…ส่งไปยัง” นิรมาดา…เพื่อนสาวชาวไทยอีกคนผู้เป็นเจ้าบ้านและสารถีอาสาพาเที่ยวในครั้งนี้ก็มาร่วมวงด้วย

เพื่อนสาวของทิอาหมายถึงภาพที่หญิงสาวใส่บิกินี่ตัวโปรดลงเล่นน้ำในสระของโรงแรมที่จัดปาร์ตี้ต้อนรับแขกที่มาพักเมื่อเย็นวาน แต่พวกเธอเพิ่งจะได้รับภาพจากตากล้องที่คอยเก็บภาพทุกคนก็ตอนกลางวันนี้เอง แน่นอนว่าภาพออกมาสวยถูกใจสามสาวเอามากๆทีเดียว

“ยังย่ะ…ของดีต้องรอก่อน” ทิอาขยิบตาให้เพื่อน ก่อนจะขอตัวแยกไปอาบน้ำในห้องของตัวเอง ในขณะที่สองสาวพักด้วยกัน เนื่องจากเธอมักจะวิดิโอคอลกับคนรักก่อนนอนทุกคืน จึงไม่อยากรบกวนความสงบของเพื่อนทั้งสอง หรืออีกนัยหนึ่งคือไม่อยากให้เพื่อนได้ยินแล้วเอามาล้อเธอทีหลังนั่นเอง

หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย เธอจึงตอบกลับข้อความที่เขาทักมาตอนอาบน้ำเหมือนเช่นเคย หญิงสาวรู้สึกว่ากฤตภาสเป็นคนคุยสนุก ยิ่งเมื่อเธอเล่าเรื่องการเดินทางให้เขาฟัง เขาก็แนะนำโน่นนี่นั่น และยังเล่าประสบการณ์การเดินทางของเขามาให้ฟังอีกด้วย เธอและเขาจึงมักคุยเพลินจนลืมเวลาอยู่บ่อยครั้ง

My name’s Tia & nickname’s Tia say : วันนี้คอลไหมคะคริส…

@_@Krit_P say: คอลสิครับ เดี๋ยวรอผมขึ้นลิฟต์แป๊ปนึงนะครับ

My name’s Tia & nickname’s Tia say : โอเคค่ะ…ทิอามีอะไรจะให้ดูนะคะ

@_@Krit_P say: …อะไรเหรอครับ

@_@Krit_P say: หืมมมมมม

หลังจากกฤตภาสเปิดดูสิ่งที่คนรักสาวส่งมาให้ ก็ถึงกับพ่นลมหายใจพรืดใหญ่ มือหนากดโทรหาหญิงสาวทันที ไม่นานใบหน้าสวยที่คุ้นเคยก็โผล่มาทักทายเสียงหวาน

“ว่าไงคะคริส” หลังจากเรียกคุณมาหลายวัน หญิงสาวก็ตัดมันออกให้เหลือชื่อเพียงอย่างเดียวเพื่อการเรียกที่ง่ายขึ้นของเธอ

“นี่ทิอาส่งรูปแบบนี้มาจะให้ผมอกแตกตายเหรอครับ…” ชายหนุ่มแกล้งทำเสียงน้อยอกน้อยใจ

…แหงล่ะสิ ก็ฉากหลังในภาพนั่นน่ะ มีผู้ชายอีกเป็นฝูงที่เล่นน้ำอยู่เช่นกัน ถึงจะมีผู้หญิงปนๆไปด้วยแต่ด้วยความพาล เขาจึงทำเป็นไม่เห็นไปซะ…

“อะไรคะคริส…คุณหึงทิอาเหรอ” หญิงสาวทำตาโตพร้อมแซวอย่างขำๆ อันที่จริงเธอพอรู้ว่าว่าเขาเข้าใจเธอนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นคงโกรธเธอไปแล้ว

“ใครบอกเล่าทิอา…ผมเสียดายที่ไม่ได้อยู่เล่นน้ำเป็นเพื่อนคุณตอนนั้นต่างหาก” คราวนี้ท่าทีเศร้าๆหายไปทันตา กลายเป็นแววตาระยิบระยับของชายหนุ่มผ่านทางหน้าจอมาแทน

“ทะลึ่งนักนะคริส…เดี๋ยวเถอะ!” หญิงสาวเอ่ยดุ แต่เขาไม่ตอบเฉไปถามเรื่องอื่นแทน

“เมื่อไหร่จะกลับมาสักทีล่ะครับ” ปลายสายส่งเสียงอ้อนมาพร้อมกับแววตาน่าสงสารจนหญิงสาวอดยิ้มไม่ได้

“อีกสี่วันเองค่ะคริส…กลับไปทิอาจะแวะหานะคะ” คำของเธอทำเอาเขาขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ แม้จะเจอกันเกือบทุกวันอยู่แล้วนี่นา

“คือทิอาหมายถึงแวะไปที่ท้องฟ้าจำลองน่ะค่ะ…ทิอาจะเอาของฝากไปให้พวกพี่ๆเขาด้วยน่ะค่ะ” หญิงสาวหมายถึงบรรดาเพื่อนที่ทำงานของเขาที่เธอมีโอกาสได้รู้จักนั่นเอง                       

“อ๋อ…ไม่เป็นไรหรอกทิอา เดี๋ยวผมเอาไปให้พวกมันเองก็ได้” กฤตภาสคิดตัดไฟแต่ต้นลมเพราะพวกเพื่อนเขาชอบแซวคนรักสาวทุกครั้งที่เจอ จนเขากลัวว่าเธอจะรำคาญซะเปล่าๆ

 “ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ พวกพี่ๆอุตส่าห์เลี้ยงขนมทิอาตั้งมากมาย” เธออมยิ้มอย่างไม่ถือสา เพื่อนของกฤตภาสหลายคนมีน้ำใจ เมื่อชวนกันไปทานข้าวก็มักจะมีขนมหรืออาหารอร่อยๆติดมือมาฝากเสมอๆ

“งั้นก็แล้วแต่ทิอาเลยละกันครับ” ชายหนุ่มยิ้มอย่างอารมณ์ดี

“ฮ้าววว…ทิอาง่วงจังเลยค่ะคริส…กู๊ดไนท์นะคะ”      ทิอายกมือปิดปากยามหาวจนน้ำตาไหล รู้ว่าลิมิตของตนเองได้แค่นี้ คงจะเพลียจากการเล่นน้ำมา เดี๋ยวพรุ่งนี้เธอกับเพื่อนก็นัดแนะกันว่าจะข้ามเกาะไปดำน้ำกันเสียด้วย

 “ครับ…กู๊ดไนท์ครับทิอา” กฤตภาสยักคิ้วให้เธอพร้อมรอยยิ้มแบบที่คิดว่าคนมองจะต้องใจละลาย ก่อนทำท่าส่งจูบมาให้เธอ

ทิอาวางเครื่องมือสื่อสารลงข้างตัวอย่างสบายใจ พร้อมนอนหลับชาร์ตพลังอย่างเต็มที่ จากที่ก่อนมีแฟนเธอไม่เคยต้องคุยกับใครนานขนาดนี้เลย แต่คุยกับเขาทีไรเป็นต้องติดลมจนเพลินทุกที

หลังจากกลับมาถึงเมืองหลวงเพียงวันเดียว หญิงสาวก็หอบของฝากจากใต้มาฝากเพื่อนๆของคนรักหนุ่มอย่างที่เคยบอกไว้จริงๆ ทำเอาพวกเขาเลิกแซวเธอไปเลยวันนี้ แต่กลับมาขอบคุณในน้ำใจของหญิงสาวแทน ก่อนที่นาวาเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของกฤตภาสจะหยิบบางอย่างออกมาให้เธอ

“อ่ะ…นี่ของน้องทิอาครับ ไอ้กฤตมันฝากเอาไว้ให้ ตอนนี้มันติดงานเลยออกมาไม่ได้น่ะครับ”     ชายหนุ่มคนนั้นบอกในสิ่งที่หญิงสาวพอรู้คร่าวๆจากคนรักอยู่แล้ว ยกเว้นก็แต่จดหมายฉบับนี้นี่แหละ

…จะส่งมาบอกเลิกกันรึเปล่าเนี่ย!!…

หญิงสาวคิดในใจระหว่างที่พลิกจดหมายในมือไปมา อุตส่าห์ใส่ซองมาซะดิบดี ซองขาวเสียด้วย หรือจะเป็นซองผ้าป่าที่หญิงสาวรู้จักได้รับจากเพื่อนสนิทก็เป็นได้

…ทิอา…

เจอกันสองทุ่มที่ตึกABCนะครับ ผมมีเซอร์ไพรส์รอคุณอยู่ แต่งตัวสวยๆนะครับ

…กฤตภาส…

ทิอาวางแผนอยู่ในใจระหว่างเดินเที่ยวชมท้องฟ้าจำลองอีกครั้งระหว่างรอเวลานัดกับกฤตภาส เนื่องจากเธอมาตั้งแต่ช่วงเช้า ร่างระหงใช้เวลาอยู่กับโลกใต้ทะเลนานกว่าที่ไหนๆในครั้งนี้ เพราะความสวยงามตรึงตาที่ได้ในตอนที่ไปดำน้ำกับเพื่อนเธอจึงตั้งใจจะเรียนรู้เรื่องนี้เพิ่มเติม

กระทั่งช่วงบ่ายหญิงสาวก็หย่อนตัวลงบนเก้าอี้แถวหนึ่ง ใช่แล้ว…เธอจะฟังการบรรยายดาวที่รอบนี้เปลี่ยนเรื่องจากคราวก่อน ซึ่งน่าสนใจมากสำหรับเธอ เพียงแต่ในวันนี้คนเยอะพอสมควร เสียงเด็กยังคงพูดคุยจอแจอยู่บ้าง แต่เธอคิดว่าเมื่อเริ่มการบรรยายก็คงจะเงียบไปเอง

การบรรยายในวันนี้ก็ยังคงสนุกมากเช่นเคย แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ที่มาบรรยายนั้นไม่ใช่คนรักของหญิงสาว แต่ก็ยังสร้างความประทับใจให้แก่คนชอบดาวอย่างเธอได้อยู่ดี จนหมดเวลาเธอจึงรีบร้อนเดินออกมาเหมือนคราวก่อนไม่มีผิด สายตากวาดมองไปรอบๆเผื่อจะเจอกับชายหนุ่ม ทว่าไม่เห็นแม้แต่เงา

หญิงสาวหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจก หลังจากใช้เวลาเลือกชุดมาเกือบชั่วโมง โชคดีที่ที่พักของเธออยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้าอยู่แล้วจึงใช้เวลาเดินทางไม่มากนักจากท้องฟ้าจำลอง หญิงสาวจึงมีเลาเตรียมตัวพอสมควร

เธอไม่แน่ใจว่าเดรสคลุมเข่าสีพาสเทลจะสวยหวานจัดเต็มเกินไปหรือเปล่า แต่ในเมื่อกฤตภาสระบุว่าให้เธอแต่งตัวสวยๆก็ทำตาม เพียงแต่มันจะสวยเกินไปรึเปล่านี่สิ…

อีกสิบกว่านาทีจะสองทุ่มตามเวลานัด ทิอาก็มาถึงตึกที่คนรักหนุ่มบอก ร่างระหงก้าวลงจากรถแท็กซี่ที่เรียกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจผิดกับครั้งอื่นๆ เมื่อสถานที่นัดคือที่พักของเขานั่นเอง

…นี่เราจัดเต็มเกินไหมเนี่ย ยัยทิอา!! เอาน่ะเผื่อคริสอาจจะพาไปดินเนอร์ก็ได้…

หลังจากยืนปลอบใจตัวเองพอสมควร หญิงสาวจึงโทรเรียกคนนัดลงมารับเธอ แต่เมื่อกฤตภาสออกมาเห็น ชายหนุ่มก็อมยิ้มขำให้เธอ ยิ่งทำให้หญิงสาวเสียความมั่นใจเข้าไปใหญ่

“ขำทำไมคะคริส!” ทิอาทักพลางทำหน้ามุ่ยใส่เขา ก็เธออุตส่าห์แต่งมาซะสวย ยังมีหน้ามาแซวกันอีก

“โอเคๆ ขอโทษครับผม…ก็ผมไม่คิดว่าทิอาจะสวยขนาดนี้ไงครับ” เขาหยอดคำหวานเข้าไปอีก ให้อีกฝ่ายอารมณ์ดี จะได้ไม่เสียบรรยากาศ ก่อนจะเดินนำคนรักสาวไปยังเซอร์ไพรส์ที่เขาเตรียมไว้

ชายหนุ่มเปิดประตูตรงหน้าออก สายลมเย็นปะทะร่างทั้งสองโดยทันที ร่างระหงก้าวออกไปตามหลังเขาพลางสังเกตรอบตัวอย่างตกใจ

พื้นที่ดาดฟ้าได้กลายเป็นสนามหญ้าเทียมนิ่มๆ ประดับประดาด้วยแสงไฟระยิบจากต้นไม้ที่วางตกแต่งอยู่โดยรอบเสมือนกำลังจัดงานฉลองให้กับบางสิ่ง ตรงกลางสนามหญ้านั้นมีโต๊ะไม้ทรงกลมกับเก้าอี้ไม้สไตล์เดียวกันวางอยู่ หญิงสาวถึงกับหัวเราะกิ๊กออกมาให้ความไม่เข้าพวกของมันก่อนจะเอ่ยแซวคนจัดสถานที่

“ไม่ยักรู้นะคะว่าโต๊ะไม้แบบนี้ใช้ดินเนอร์กับสาวด้วย” สายตาล้อถูกส่งไปให้ชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว แต่อีกฝ่ายกลับทำเพียงยักไหล่แบบกวนๆ

“ทำไงได้ล่ะครับ…ห้องผมมีแค่นี้” กฤตภาสยิ้มน้อยๆให้เธอ เขารู้ว่าหญิงสาวแค่แซวเล่นก็เท่านั้น “ถ้าเกิดผมไปซื้อโต๊ะสวยๆมาดินเนอร์กับสาวแค่คืนเดียว สงสัยผมจะต้องกินมาม่าไปทั้งเดือนแน่”

“แหม…ตั้งใจจะเลี้ยงทิอาแค่คืนเดียวเองเหรอคะคริส” ทิอาทำเสียงน้อยอกน้อยใจ

“อีกไม่กี่วันทิอาจะกลับฮ่องกงแล้วนี่ครับ…ไม่รู้เมื่อไหร่เราจะเจอกันอีก ผมก็เลยตั้งใจจะเลี้ยงส่งทิอาน่ะสิ” ชายหนุ่มเองก็ทำหน้าเศร้าไม่น้อยไปกว่าเธอเมื่อนึกถึงเวลาที่ต้องห่างกันเพราะหน้าที่ของแต่ละคน

หญิงสาวส่งยิ้มให้กำลังใจคนรัก เธอเป็นคนบอกเขาเองว่าลางานมาได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น และก่อนที่เธอจะได้เจอกับเขา เธอเองก็ใช้เวลาท่องเที่ยวในที่อื่นๆไปหลายวันแล้วด้วย

“งั้นมาค่ะ…เรามาสร้างความทรงจำก่อนกลับด้วยกันดีกว่า” ทิอาจูงมือหนาให้เดินตามมาที่โต๊ะ ก่อนจะวางกระเป๋าใบเล็กลงและชะโงกหน้าไปดูบรรดาอาหารหน้าตาน่ากินที่วางอยู่หลายอย่าง

“ชอบไหมครับ…” กฤตภาสเอียงคอถามยิ้มๆ นี่เขาลงทุนไปแอบถามเมนูโปรดจากเพื่อนของหญิงสาวมาเชียวนะ

“ชอบมากค่ะ…ว่าแต่ คริสทำเองหมดเลยเหรอคะ” เธอทำหน้าฉงน เขาไม่เคยบอกสักนิดว่าทำอาหารเองเป็น ปกติเธอก็เห็นว่าเขาซื้อเอาเสียส่วนใหญ่ แล้วคำตอบก็เรียกรอยยิ้มของเธอ

“เปล่าหรอกครับ…ผมขอให้แม่ทำมาให้น่ะ แม่ผมชอบทำอาหาร แถมยังทำได้หลายชาติด้วยนะครับ” เขาโฆษณาฝีมือของมารดาที่เป็นถึงผู้ช่วยเชฟในโรงแรมระดับสี่ดาว แม้จะปลดเกษียณตัวเองจากตำแหน่งนี้มาหลายปีแล้ว แต่ฝีมือก็ยังไม่ตกเหมือนเดิม

“แล้วขึ้นมาจัดบนดาดฟ้าแบบนี้ เจ้าของตึกเขาจะไม่ว่าเอาเหรอคะ” หญิงสาวถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าตึกนี้ไม่ใช่ตึกส่วนตัว แต่เป็นตึกให้เช่าที่มีคนอยู่มากมาย

“ไม่หรอกครับ…ผมสนิทกับเจ้าของตึกและคนดูแล ชอบขอเขาขึ้นมาดูวิวตอนกลางคืนบ่อยๆ” สิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ผิดจากความจริง เพราะเจ้าของตึกนี้ก็คือบิดาของเพื่อนสนิทของเขานั่นเอง เขาจึงถือโอกาสขอมันมากางเต็นท์นอนเล่นออกบ่อย จนเพื่อนชอบแซวว่าจะเช่าห้องเอาไว้ทำไม เช่าแต่ดาดฟ้าก็ได้ราคาไม่แพง

“อ๋อ…ดีจังเลยนะคะ”

สิ้นสุดบทสนทนา ชายหนุ่มก็เชื่อเชิญให้หญิงสาวลิ้มลองรสชาติของอาหารบนโต๊ะ ซึ่งแน่นอนว่าเธอประทับใจมาก ถึงแม้จะไม่อร่อยเท่าต้นตำรับแท้ๆที่เธอเคยชิม แต่ถือว่ายอดเยี่ยมสำหรับคนต่างถิ่นที่ทำได้ ด้วยมันเป็นอาหารท้องถิ่นจากบ้านเกิดของเธอนั่นเอง จึงยากที่จะหาร้านอร่อยๆนอกพื้นที่

ร่างระหงเดินมาหยุดริมราวกั้นที่สูงเลยเอวขึ้นมาพอสมควร เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่ขึ้นมาด้านบนว่าจะไม่ตกลงไปเสียก่อนหากไม่ปีนป่ายขึ้นไป

“เสียดายที่นี่ไม่มีดาวเลยนะคะ” หญิงสาวบ่นพึมพำขึ้นมาเบาๆ ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะเมืองใหญ่มักถูกปกคลุมด้วยฝุ่นควันมากกว่าจะเห็นท้องฟ้าสดใสสบายตา

“ใช่ครับ…น่าเสียดายมาก วันนี้ผมเลยชวนทิอามาดูพระจันทร์แทนน่ะครับ” เขามองไกลออกไปยังทิวทัศน์ด้านหน้า บนท้องฟ้ามีดาวเพียงแค่ดวงเดียวและเล็กจนบางคนที่ไม่สังเกตอาจมองไม่เห็น ไม่ช้ามันก็จะถูกหมู่เมฆก้อนใหญ่ที่เคลื่อนมาบดบัง

“มาดูพระจันทร์เหรอคะ…” คนรักสาวถามขึ้นอย่างงงๆ มีใครบ้างชวนมาดูพระจันทร์ ดูที่อื่นแล้วต่างกันตรงไหน

“ใช่ครับ วันนี้พระจันทร์เต็มดวง สวยมากเชียว” กฤตภาสบอกพลางละจากร่างระหงไปเปิดเพลงใหม่ ขยับจากจังหวะคลอเคลียให้เป็นจังหวะที่สนุกขึ้นพร้อมกับมาชวนเธอเต้น

“ผมเต้นลีลาศแบบโรแมนติกไม่เป็น เชิญทิอามาเต้นสนุกๆกับผมแทนนะครับ” ชายหนุ่มโค้งก่อนผายมือไปยังสนามหญ้าฝั่งที่ว่างอยู่ ซึ่งเขาเตรียมไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ

“ได้สิคะ”

พูดจบ ทิอาก็ก้าวเข้าไปเปิดสเต็ปการเต้นคนรักดูเป็นขวัญตาพร้อมกับส่งจังหวะให้เขาบ้าง เธอเองก็เป็นนักเต้นที่มีฝีไม้ลายมือไม่เบา การันตีจากคำชมของบรรดาเพื่อนร่วมก๊วนที่ออกตระเวนเที่ยวยามราตรีด้วยกันมานาน

ไม่นานเวลาแห่งความสุขก็สิ้นสุดลงเหมือนเช่นทุกวัน กฤตภาสจบค่ำคืนหวานๆปนเปรี้ยวด้วยสร้อยข้อมือรูปดาวที่สั่งทำเป็นพิเศษให้เธอพร้อมจูบเบาๆที่ริมฝีปากนุ่ม เขาเลือกที่จะไม่ให้แหวนเพราะคิดว่ายังไม่ยาวพอสำหรับเวลาในการคบกัน ไม่มากพอที่ตีตราจองหรือหมั้นหมายใดๆ มันอาจรสร้างความลำบากใจแก่ตัวเธอและครอบครัว

นับจากวันที่ชายหนุ่มไปส่งคนรักสาวที่สนามบิน ก็ผ่านพ้นมากว่าสองเดือนโดยไม่รู้ตัว อาจเพราะระยะทางที่ห่างกันไม่ได้เป็นปัญหาในตอนนี้อย่างที่ทั้งสองคนนึกกลัว พวกเขายังคงคุยกันทุกวันเหมือนในก่อนหน้านี้ ยังคงเล่าเรื่องที่เจอในแต่วันมาแชร์กันอย่างสนุกสนาน

“แล้วตกลงเซอร์ไพรส์ของทิอาคืออะไรเหรอครับ…”  เขาเอ่ยทวงถาม เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเธอเคยบอกว่ามีเซอร์ไพรส์ยามกลับมาจากทะเล เขาไม่คิดว่าบรรดาของฝากจากใต้เพียงเท่านั้นจะเป็นเซอร์ไพรส์สำหรับหญิงสาวแน่นอน แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่ามันคืออะไร

“หืมมม…ไม่บอกค่ะคริส เดี๋ยวถึงเวลาคริสก็รู้เอง ไม่นานหรอกค่ะ” หญิงสาวส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของกฤตภาส เจ้าตัวจึงได้แต่ทำหน้ายุ่งๆที่จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้คำตอบเสียที

ใจร้ายยยย” เขาโอดครวญขึ้นมา แต่หญิงสาวก็ยังคงไม่ยอมใจอ่อนเช่นเคย

“อดทนรออีกนิดนะคะ” เธอพยายามปลอบเขา เพราะไม่อาจระบุได้ว่าเขาจะได้รับมันเมื่อไหร่เช่นกัน

เวลาเลิกงานของกฤตภาสก็ยังคงเหมือนเดิมทุกวัน ชายหนุ่มเดินจิบน้ำออกมาด้วยท่าทีเหนื่อยล้า เพราะหน้าที่ในการบรรยายที่เจอมาสองรอบติดทำเอาคอแห้งไปมากทีเดียว ก่อนจะเจอเพื่อนร่วมงานคนสนิทสองคนที่กระโดดมาดักหน้า

“เฮ้ย…ไรวะ! ตกใจหมด” ชายหนุ่มโวยวายทันที พวกนี้ชอบเล่นอะไรให้คนอื่นเขาตกใจ เป็นพวกชอบแกล้งนั่นเองล่ะ

“เฮ้ย…อย่าเพิ่งรีบกลับบ้านดิวะ พวกเรามีเซอร์ไพรส์” หนึ่งในสองพูดพลางยักคิ้วหลิ่วตาให้เพื่อนที่ยืนทำหน้างง

…ต้องมีอะไรแน่ๆ ร้อยวันพันปีไอ้พวกนี้ไม่เคยเซอร์ไพรส์อะไรใคร ถ้าแกล้งก็ว่าไปอย่าง…

เขาหรี่ตามองเพื่อนอย่างไม่ไว้ใจ ไม่รู้จะโดนหลอกไปแกล้งหรือเปล่า ประโยคต่อมาก็ทำเอาเขาตาโตอย่างคาดไม่ถึง

“มาเร็วๆๆ…แฟนแกฝากของขวัญมาให้แน่ะ” เพื่อนอีกคนพูดขึ้นบ้างพร้อมชี้ไปที่รถของมันที่จอดอยู่ไม่ไกล

แม้ในใจของชายหนุ่มจะงุนงงว่าทำไมหญิงสาวถึงไม่ส่งมาให้เขาโดยตรง แต่ก็เดาเอาว่าคงเพราะกลัวจะไม่เซอร์ไพรส์ล่ะสิ

มือหน้าจับกล่องเล็กๆที่วางอยู่ท้ายรถของเพื่อน พยายามเขย่าเพื่อกะน้ำหนักคาดคะเนสิ่งของที่อยู่ข้างใน แต่มันก็ไม่หนักมากนัก …หรือจะเป็นขนม…

กฤตภาสพยายามแกะกล่องของขวัญใบเล็กอย่างตั้งใจ คิ้วก็ขมวดเพราะความสงสัยไปพลาง ก่อนจะเจอลูกอมสีสวยในกล่อง ยิ่งทำให้เขางงหนักกว่าเดิม

“อะไรวะเนี่ย…”  คำอุทานของเขาทำให้เพื่อนทั้งสองถือวิสาสะชะโงกหน้ามาดูบ้างด้วยความอยากรู้ ในขณะเดียวกันมีบางสิ่งเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

“เซอร์ไพรส์!!!!”  เสียงของทิอาทำให้กฤตภาสหันขวับมาทันที ดวงตาของเขาเบิกโต บ่งบอกว่าตกใจเพียงใดที่เห็นเธอยืนอยู่ตรงนี้

“ทิอา…มาได้ไง” ชายหนุ่มรู้สึกว่าเสียงของเขาแทบไม่ได้ดังไปกว่าเสียงฮัมเพลงในลำคอ แต่อีกฝ่ายกลับได้ยิน

“ก็นั่งเครื่องบินไง….” หญิงสาวยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างอารมณ์ดี พลางมองหน้ายุ่งๆนั้นด้วยความขบขัน “อ้าว…ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ไม่ดีใจเหรอที่ทิอากลับมาแล้ว”

“ดีใจครับ…แต่ทิอามาได้ไง หมายถึง…ต้องทำงานไม่ใช่เหรอ ลามาทำไมเนี่ย” หญิงสาวเบ้ปากเมื่อเขาเริ่มเปิดฉากดุ ทั้งสองคุยกันโดยที่เพื่อนของกฤตภาสถอยไปเงียบๆไม่อยากขัดบรรยากาศ

“ทิอาขอคุณตาย้ายมาทำงานที่เมืองไทยค่ะ” คำตอบของเธอทำให้เขาตกใจอีกครั้ง คราวนี้บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร

“จริงเหรอครับ…” เขาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“จริงสิคะ” หญิงสาวยิ้มสดใสให้เขา ก่อนจะโน้มคอคนรักหนุ่มลงมาหอมแก้มเบาๆ ชายหนุ่มจึงโอบกระชับรอบเอวของเธอไว้

“ตกลงใครเซอร์ไพรส์กว่ากันคะ…” ทิอายักคิ้วให้อย่างเจ้าเล่ห์เช่นเดิม จนกฤตภาสหมั่นไส้ยกมือยีหัวเธอจนฟู

“ของทิอาสิครับ…เซอร์ไพรส์มากกก” เขาลากเสียงยาวอย่างหมั่นเขี้ยว แต่ก็กระชับตัวหญิงสาวขึ้นมาอุ้มก่อนจะหมุนไปรอบตัวอย่างดีใจ

“อ๊ายยย…พอแล้วคริส ทิอาเวียนหัวววว” หญิงสาวตะโกนอยู่หลายรอบกว่าอีกฝ่ายจะยอมปล่อยลง

“นี่ทำโทษนะ สาวน้อยขี้แกล้ง…”  

ทั้งสองหัวเราะให้กันอย่างสุขใจ หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาหลายเดือน จนตอนนี้หญิงสาวพร้อมที่จะลองเรียนรู้ใจกันและกัน

“ขอบคุณนะคะคริส…” ทิอาส่งยิ้มตาเป็นประกายแห่งความสุขให้เขาพลางซบอยู่กับบ่าของชายหนุ่มอยู่อย่างนั้นจนพอใจ